Jul 8, 2011

Garlic

กระเทียม (Garlic) เป็นพืชสมุนไพรล้มลุก มีลำต้นใต้ดินเรียกว่าหัว ซึ่งประกอบด้วยกลีบย่อยหลายกลีบ ชนิดที่หัวมีกลีบเดียวเรียกว่ากระเทียมโทน กระเทียมเป็นเครื่องเทศชนิดหนึ่ง โดยมักใส่ในอาหารหลายชนิด ทั้งอาหารไทย อาหารอินเดีย ในครัวไทยมีกระเทียมเป็นส่วนประกอบสำคัญประจำครัวมานาน ในปัจจุบันมีการศึกษาคุณสมบัติทางยาอันหลากหลายของกระเทียม จนถึงกับสกัดบรรจุเป็นแคปซูล จำหน่ายเป็นอาหารเสริมสุขภาพแล้ว
กระเทียมมีชื่อสามัญอื่นๆอีกคือ กระเทียมขาว (อุดรธานี) กระเทียมจีน (กลาง) เทียม (ใต้) ปะเซ้วา (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) หอมขาว (อุดรธานี) หอมเทียม (เหนือ) หัวเทียม (ใต้)
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์: กระเทียมเป็นไม้ล้มลุก สูง 30-60 ซม. มีกลิ่นแรง มีหัวใต้ดินแบบ Tunic bulb ลักษณะกลมแป้น เส้นผ่าศูนย์กลาง 2-4 ซม. มีแผ่นเยื่อสีขาวหรือสีม่วงอมชมพูหุ้มอยู่ 3-4 ชั้น ซึ่งลอกออกได้ แต่ละหัวมี 6-10 กลีบ กลีบเกิดจากตาซอกใบของใบอ่อน ลำต้นลดรูปลงไปมาก ใบเดี่ยวขึ้นมาจากดิน เรียงซ้อนสลับ แบนเป็นแถบแคบ มีปลายแหลมขอบเรียบ และพับทบเป็นสันตลอดความยาวของใบ ส่วนที่หุ้มหัวอยู่มีสีขาวหรือขาวอมเขียว ช่อดอกแบบช่อซี่ร่ม ประกอบด้วยตะเกียงรูปไข่เล็กๆ จำนวนมากอยู่ปะปนกับดอกขนาดเล็กซึ่งมีจำนวนน้อย มีใบประดับใหญ่ 1 ใบ ยาว 7.5-10 ซม. ลักษณะบาง ใส แห้ง เมื่อช่อดอกบานใบประดับจะเปิดอ้าออกและห้อยลงรองรับช่อดอกไว้ เป็นดอกสมบูรณ์เพศ มีกลีบรวม 6 กลีบ แยกจากกันหรือติดกันที่โคน รูปใบหอกปลายแหลม ยาวประมาณ 4 มม. สีขาวหรือขาวอมชมพู ผลเล็กเป็นกระเปาะสั้นๆ รูปไข่หรือค่อนข้างกลม มี 3 พู เมล็ดเล็ก สีดำ
คุณค่าทางโภชนาการ: หัวและใบของกระเทียม มีโปรตีน คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก วิตามินซี, บี 1, บี 2 ไนอะซีน และยังมีเบต้าแคโรทีน ซีลีเนียม เจอร์เรเนียม อัลลิซีน
สรรพคุณและการใช้ประโยชน์
ใบ: ทำให้เสมหะแห้ง แก้ลม ปวดมวนท้อง
หัว: บำบัดอาการไอ แก้ไข้หวัด หลอดลมอักเสบเรื้อรัง บำรุงปอด แก้ปอดพิการ ปอดบวม แก้วัณโรคปอด ช่วยย่อย แก้ท้องเสีย ขับลม ขับเหงื่อ ขับพิษและสารอันตรายที่ปนเปื้อนในเม็ดเลือด ช่วยลดระดับไขมันคอลเรสเตอรอลในเลือด ลดไตรกลีเซอไรด์ ช่วยลดปริมาณน้ำตาลในเลือด ช่วยลดความดันโลหิต แก้ความดันโลหิตสูง ลดการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก เพิ่มการไหลเวียนโลหิต ช่วยเพิ่มความจำ รักษาเลือดออกตามไรฟัน ขับพยาธิในท้อง แก้สะอึก
รับประทานหัวกระเทียมสดหรือดองน้ำผึ้ง เป็นประจำวันละ 5-10 กลีบ ช่วยป้องกันโรคหัวใจ ช่วยขจัดไขมันอุดตันในเส้นเลือด กระเทียมโทนดองน้ำผึ้งบำรุงกำลัง กระเทียมดองสุราลดความดันโลหิต
แก้ปากเหม็น ฆ่าเชื้อโรคในปาก คั้นน้ำกระเทียมผสมน้ำอุ่น ใส่เกลือเล็กน้อย อมบ้วนปาก
รักษากลากเกลื้อน คั้นเอาน้ำกระเทียมสดทาบริเวณที่เป็น วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น จนกว่าจะหาย
แก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ รับประทานกระเทียมสด 5-7 กลีบ

ข้อมูลอ้างอิง: หนังสือเคล็ดวิธี...กินอย่างไร? ไร้โรคภัย

Pumpkin-Kabocha

ฟักทอง (Pumpkins (ทอง), Kabocha (เขียว)) เป็นพืชชนิดหนึ่ง มักจัดเป็นพวกผัก เนื่องจากนิยมนำมาเป็นส่วนประกอบในอาหาร แต่ก็ยังนำไปทำของหวานเป็นอาหารว่างได้ด้วย ปกติฟักทองเมื่อแก่จัดจะมีสีเหลืองอมส้ม เป็นพืชมีเถา ปลูกได้ทั่วไปทั้งในเขตร้อนและเขตหนาว ในทางพฤกษศาสตร์ จัดอยู่ในสกุล Cucurbita วงศ์ Cucurbitaceae ถือว่าเป็นพืชดั้งเดิมของโลกตะวันตก
ฟักทอง มีชื่อพื้นเมืองอื่นอีก เช่น มะฟักแก้ว ฟักเขียว มะฟักข้าวเหนียว (เหนือ) น้ำเต้า (ใต้) มะน้ำแก้ว (เลย) หมักคี้ส่า (กะเหรี่ยง - แม่ฮ่องสอน) หมักอื้อ (ปราจีนบุรี)
ในประเทศตะวันตก นิยมนำฟักทองมาเจาะเป็นช่อง มีจมูก ตา แล้วใส่เทียน หรือดวงไฟข้างในเพื่อฉลองในวันฮาโลวีน เรียกว่า แจคโอแลนเทิน (Jack-o'-lantern pumpkin)
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์: ฟักทองเป็นไม้เถาเลื้อยไปตามดิน ลำต้นแข็งปานกลาง มีมือสำหรับยึดเกาะ 3-4 แขนง ลำต้นอวบน้ำ ใบเดี่ยวรูปห้าเหลี่ยม ขอบใบหยัก เว้าเป็นแฉกตื้นๆ ปลายใบมน มีขนทั้งสองด้าน ดอกเดี่ยวออกตามง่ามใบ ดอกตูมปลายแหลม ดอกตัวผู้และตัวเมียอยู่บนต้นเดียวกัน ดอกมีสีเหลืองอมส้มรูปกระดิ่ง ผลฟักทองมีด้วยกันหลายลักษณะ บางครั้งเป็นผลเกือบกลมก็มี แต่โดยทั่วไปเป็นรูปทรงกลมแป้น ผิวขรุขระเล็กน้อย เมื่อยังดิบเนื้อค่อนข้างแข็ง เนื้อสีเหลืองหรือเหลืองอมเขียว หรือสีส้มเข้ม ตรงกลางฟูพรุน เมล็ดมีจำนวนมาก มีรูปร่างแบน นอกจากเนื้อของผลฟักทองจะใช้เป็นอาหารแล้ว เมล็ดฟักทองก็ใช้เป็นอาหารว่างได้ด้วย
คุณค่าทางโภชนาการ: เนื้อฟักทองมีวิตามินเอสูงมาก ส่วนที่กินได้ 100 กรัม มีวิตามินเอ 2,458 I.U. มีฟอสฟอรัส แคลเซียม วิตามินซี แป้ง เบต้าแคโรทีน โปรตีน และอื่นๆ ใบอ่อนมีวิตามินสูงเท่ากับในเนื้อ และมีแคลเซียมและฟอสฟอรัสสูงกว่าในเนื้อ ดอกมีวิตามินเอ แคลเซียม ฟอสฟอรัส และวิตามินซีเล็กน้อย เมล็ดมีน้ำมัน แป้ง ฟอสฟอรัส โปรตีน วิตามิน
สรรพคุณและการใช้ประโยชน์
ฟักทองมีกากใยสูง อุดมด้วยวิตามินเอและสารต่อต้านการผสมกับออกซิเจนกับเกลือแร่ และมี กรดโปรไพโอนิคกรดนี้ทำให้ทำให้เซลล์มะเร็งให้อ่อนแอลง ในเนื้อฟักทองมีแคโรทีนและแป้ง ยอดอ่อน ใช้แกงกับเห็ดไข่เหลือง เห็ดไข่ขาวหรือเห็ดโคน แกงแคร่วมกับผักชนิดต่างๆ หรือผัดกับไข่ ลูกอ่อนแกงกับหน่อไม้ยอดอ่อน, ผลอ่อน นึ่งรับประทานเป็นผักจิ้มกับน้ำพริก ผลแก่ แกงบวด ผัดกับไข่ ทำขนมบวชชี ใช้แต่งสีขนมเช่น ขนมฟักทอง ลูกชุบ โดยนำเนื้อนึ่งสุกมายีกับแป้งหรือถั่วกวน
ใช้เป็นยา: เมล็ดขับพยาธิตัวตืด ขับปัสสาวะ และบำรุงร่างกาย ราก บำรุงร่างกาย แก้ไอ ถอนพิษของฝิ่น น้ำมันจากเมล็ด บำรุงประสาท เยื่อกลางผล แก้ฟกช้ำ แก้ปวดอักเสบ
น้ำฟักทอง
ส่วนผสม:
เนื้อฟักทองนึ่งสุก  1  ถ้วย
น้ำสะอาด  3  ถ้วย
น้ำตาลทราย  100  กรัม
เกลือป่น
วิธีทำ:
ปอกเปลือกฟักทอง นึ่งให้สุก ใส่เครื่องปั่น เติมน้ำ ปั่นให้ละเอียด เทใส่ภาชนะนำไปตั้งไฟ เติมน้ำตาลทราย เกลือป่น ชิมรสตามใจชอบ กรองด้วยผ้าขาวบาง เทใส่หม้อตั้งไฟพอเดือด ยกลง เทใส่ขวด จะได้น้ำฟักทองสีเหลือง มีรสหวานมัน

ข้อมูลอ้างอิง: หนังสือเคล็ดวิธี...กินอย่างไร? ไร้โรคภัย

Jun 27, 2011

Centella asiatica

บัวบก (Centella asiatica) เป็นพืชสมุนไพรที่อยู่ในแถบเอเชีย มีชื่อพื้นเมืองอื่นอีก เช่น ผักแว่น (ใต้, ตะวันออก - จันทบุรี) ผักหนอก (เหนือ) ปะหนะเอขาเด๊าะ (กะเหรี่ยง - แม่ฮ่องสอน) เตียกำเช้าฮักคัก (จีน)
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์: เป็นไม้ล้มลุก ทอดเลี้อยไปตามดินที่แฉะ ขึ้นง่ายมีรากออกตามข้อ ชูใบตั้งตรงขึ้นมา ใบเป็นใบเดี่ยว มีก้านชูใบยาว ลักษณะใบเป็นรูปไต มีรอยเว้าลึกที่ฐานใบ ขอบใบมีรอยหยัก จะเป็นสามเหลี่ยม ดอกเป็นดอกช่อคล้ายร่ม ออกจากข้อมี 2-3 ข้อ ช่อละ 3-4 ดอก แต่ละดอกมีกลีบดอก 5 กลีบ สีม่วงอมแดงโดยเรียงสลับกับเกสรตัวผู้ ผลเล็กมากมีสีดำ แช่น้ำไม่ตาย ทนน้ำขัง
คุณค่าทางโภชนาการ: บัวบกมีน้ำมันหอมระเหยทุกส่วน สารที่มีรสขม มีสารไกลโคไซด์ มีวิตามินเอสูงมาก มีแคลเซียม และสารอื่นๆ
สรรพคุณและการใช้ประโยชน์
ทั้งต้นกินเป็นผักสด หรือลวกกินกับขนมจีนน้ำพริก นำมาเป็นผักซึ่งเหมาะกินกับแกง นำมาทำยำ และทำน้ำใบบัวบก
ใช้เป็นยา: ทั้งต้นนำมาต้มน้ำดื่ม แก้ฟกช้ำได้ ลดการอักเสบได้ดี แก้ร้อนในกระหายน้ำ ใบบัวบกสามารถช่วยรักษาแผลให้หายได้เร็วขึ้นและยังช่วยลดอาการอักเสบของแผลได้ดี เพราะมีกรดมาเดคาสสิก กรดอะเซียติก และสารอะเซียติโคไซด์ ยืนยันได้เพราะยาแผนปัจจุบันทำเป็นรูปครีมผงโรยแผล ยาเม็ดรับประทาน เพื่อใช้รักษาแผลสดและแผลผ่าตัด ไม่ว่าจะเป็นแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก หรือแผลฝีหนองบัวบกจัดการได้หมด โดยใช้ใบและต้นสดตำละเอียดคั้นน้ำทานวันละ 3 - 4 ครั้ง หรืออาจใช้กากพอกบริเวณแผลด้วยก็ดี
น้ำใบบัวบก
ส่วนผสม:
ใบบัวบก  2  ถ้วย
น้ำสะอาด  2  ถ้วย
น้ำเชื่อม  ½  ถ้วย
น้ำแข็ง
วิธีทำ:
นำใบบัวบกที่สดๆใหม่ๆ ล้างน้ำให้สะอาด แช่ด่างทับทิม 15-20 นาที ใส่เครื่องปั่น เติมน้ำพอควร ปั่นให้ละเอียด กรองด้วยผ้าขาวบาง เติมน้ำเชื่อมพอหวาน ชิมรสดูตามใจชอบ จะได้น้ำใบบัวบกสีเขียวใสน่ารับประทาน เวลาดื่มเติมน้ำแข็งบดละเอียด รสหอมหวานชื่นใจ ดื่มแล้วแก้อาการกระหายน้ำ

ข้อมูลอ้างอิง: หนังสือเคล็ดวิธี...กินอย่างไร? ไร้โรคภัย

Aloe Vera

ว่านหางจระเข้ มีชื่ออื่น เช่น หางตะเข้ (กลาง) ว่านไฟไหม้ (เหนือ) นำเต๊ก (จีน) คำว่า "อะโล" (Aloe) เป็นภาษากรีซโบราณ หมายถึงว่านหางจระเข้ ซึ่งแผลงมาจากคำว่า "Allal" มีความหมายว่า ฝาดหรือขม ในภาษายิว ฉะนั้นเมื่อผู้คนได้ยินชื่อนี้ ก็จะทำให้นึกถึงว่านหางจระเข้ ว่านหางจระเข้เดิมเป็นพืชที่ขึ้นในเขตร้อน ต่อมาได้ถูกนำไปแพร่พันธุ์ในยุโรปและเอเชีย และทุกวันนี้ทั่วโลกกำลังเกิดกระแสนิยมว่านหางจระเข้กันเป็นการใหญ่
ว่านหางจระเข้ เป็นต้นพืชที่มีเนื้ออิ่มอวบ จัดอยู่ในตระกูลลิเลี่ยม (Lilium) แหล่งกำเนิดดั้งเดิมอยู่ในชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และบริเวณตอนใต้ของทวีปแอฟริกา พันธุ์ของว่านหางจระเข้มีมากมายกว่า 300 ชนิด ซึ่งมีทั้งพันธุ์ที่มีขนาดใหญ่มาก จนไปถึงพันธุ์ที่มีขนาดเล็กกว่า 10 เซ็นติเมตร ลักษณะพิเศษของว่านหางจระเข้ก็คือ มีใบแหลมคล้ายกับเข็ม เนื้อหนา และเนื้อในมีน้ำเมือกเหนียว ว่านหางจระเข้ผลิดอกในช่วงฤดูหนาว ดอกจะมีสีต่างๆกัน เช่น เหลือง ขาว และแดง เป็นต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับพันธุ์ของมัน
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์: ว่านหางจระเข้เป็นพืชอวบน้ำอยู่ในจำพวกว่าน ลำต้นสั้นหรือไม่มีลำต้น สูง 60-100 ซม.(24-39 นิ้ว) กระจายพันธุ์โดยตะเกียง ใบมีลักษณะหนาและยาว ตรงโคนใบใหญ่ ส่วนปลายใบแหลม ใบมีสีเขียวถึงเทาเขียว บางสายพันธุ์มีจุดสีขาวบนและล่างของโคนใบ ขอบใบเป็นหยักและมีฟันเล็กๆสีขาว ภายในใบจะเป็นวุ้นใสสีเขียวอ่อน ดอกเป็นช่อชูตั้ง ออกดอกบริเวณกลางต้น และมีก้านช่อดอกยาวมาก ยาวได้ถึง 90 ซม.(35 นิ้ว) วงกลีบดอกสีเหลืองรูปหลอด ยาว 2-3 ซม. (0.8-1.2 นิ้ว) บานจากล่างไปข้างบน คล้ายดอกซ่อนกลิ่นตูมๆ นานๆจะได้เห็นดอกสักครั้งหนึ่ง
ว่านหางจระเข้ก็เหมือนพืชชนิดอื่นในสกุลที่สร้างอาร์บัสคูลาร์ไมคอร์ไรซา (arbuscular mycorrhiza) ขึ้น ซึ่งเป็นสมชีพที่ทำให้พืชดูดซึมสารอาหารและแร่ธาตุในดินได้ดีขึ้น
คุณค่าทางโภชนาการ: วุ้นและน้ำเมือกในใบว่านหางจระเข้ มีสารเคมีอยู่หลายชนิด เช่น Aloe-cmidin, Aloesin, Aloin, สารประเภท Glycoprotein และอื่นๆ ยางสีเหลืองที่อยู่ในว่านหางจระเข้ มีสารแอนทราควินโนน (anthraquinone) ที่มีฤทธิ์ช่วยขับถ่ายด้วย ใช้ทำเป็นยาดำ
สรรพคุณและการใช้ประโยชน์
วุ้นจากใบ ทำลอยแก้ว วุ้นแช่อิ่ม และทำน้ำว่านหางจระเข้
ใช้เป็นยา: น้ำยางจากใบผสมกับสารส้ม ใช้กินรักษาโรคหนองใน มีการศึกษาวิจัยรายงานว่า วุ้นหรือน้ำเมือกจากใบของว่านหางจระเข้ใช้รักษาแผลไฟไหม้ การอักเสบของผิวหนัง รักษาแผลที่เกิดจากการไหม้ น้ำร้อนลวก แผลเรื้อรัง และแผลในกระเพาะอาหารได้ดี เพราะวุ้นใบมีสรรพคุณรักษาแผล ต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย และช่วยสมานแผลได้ด้วย ยางในใบใช้ทำเป็นยาดำ, ยาระบาย และเป็นยาถ่ายจะออกฤทธิ์ที่ลำไส้ใหญ่ วุ้นยังใช้รักษาจุดด่างดำบนใบหน้า, ฝ้า ส่วนใบสดให้ฝานหนาๆ แล้วทาปูนแดงใช้ปิดขมับ รักษาอาการปวดศีรษะ ทำให้เย็น ดูดพิษ รากและเหง้านำไปต้มกิน รักษาโรคหนองใน
น้ำว่านหางจระเข้
ส่วนผสม:
ใบว่านหางจระเข้  2  ใบ
น้ำต้มสุก  1  ถ้วย
น้ำเชื่อม  1/3  ถ้วย
วิธีทำ:
เลือกใบว่านหางจระเข้ที่มีขนาดใหญ่ โตเต็มที่ ปอกเปลือกออก แล้วล้างน้ำให้สะอาดจนหมดยางสีเหลือง นำใส่เครื่องปั่น เติมน้ำต้มสุก ปั่นให้ละเอียด กรองด้วยผ้าขาวบาง เติมน้ำเชื่อมเล็กน้อย ใส่ขวดเก็บไว้ในตู้เย็น ควรเตรียมดื่มไม่เกิน 2 วัน

ข้อมูลอ้างอิง: หนังสือเคล็ดวิธี...กินอย่างไร? ไร้โรคภัย

Lotus

บัว เป็นพืชน้ำล้มลุก ลักษณะลำต้นมีทั้งที่เป็นเหง้า ไหล หรือหัว ใบเป็นใบเดี่ยวเจริญขึ้นจากลำต้น โดยมีก้านใบส่งขึ้นมาเจริญที่ใต้น้ำ ผิวน้ำหรือเหนือน้ำ รูปร่างของใบส่วนใหญ่กลมมีขนาดใหญ่ บางชนิดมีก้านใบบัว ผิวใบเรียบ มีสีนวลเคลือบตลอดหน้าใบ ขอบใบเรียบ มีสีเขียวตลอดทั้งใบ ก้านใบแข็ง
บัวเป็นราชินีแห่งไม้น้ำ จัดเป็นพันธุ์ไม้น้ำที่ถือเป็นสัญญลักษณ์ของคุณงามความดี บัวหลวงชอบขึ้นในน้ำจืด ออกดอกตลอดปี ชอบน้ำสะอาด อยู่ในน้ำลึกพอสมควร ถิ่นกำเนิดของบัวอยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะเริ่มบานตั้งแต่ตอนเช้า ก้านดอกยาวมีหนามเหมือนก้านใบ ชูดอกเหนือน้ำ และชูสูงกว่าใบเล็กน้อย กลีบเลี้ยง 4-5 กลีบ ดอกมีสีขาวอมเขียว, สีเทาชมพู หรือสีชมพูอมม่วง ร่วงง่าย กลีบดอกจำนวนมากเรียงซ้อนกันหลายชั้น เกสรตัวผู้มีจำนวนหลายสี ภายในดอกมีรูปร่างคล้ายกรวย มีเมล็ดฝังอยู่ภายใน และจะเติบโตเป็นผล ที่เรียกกันว่าฝักบัว
บัวที่พบและนิยมปลูกในประเทศไทย มาจาก 3 สกุล คือ
  • บัวหลวง (Lotus) เป็นบัวในสกุล Nelumbo มีชื่อเรียกกันทั่วไปว่า ปทุมชาติ หรือบัวหลวง
  • บัวผัน, บัว(กิน)สาย (Waterlily) เป็นบัวในสกุล Nymphaea มีลำต้นใต้ดินเป็นหัว หรือเหง้า ใบและดอกเกิดจากตาหรือหน่อที่เจริญขึ้นมาที่ผิวน้ำด้วยก้านส่งใบและยอด
  • บัววิกตอเรีย (Victoria) เป็นบัวในสกุล Victoria มีชื่อเรียกกันทั่วไปว่า บัวกระด้ง จัดเป็นบัวที่มีขนาดใหญ่ที่สุด
พ.ศ. 2551 ค้นพบสายพันธุ์บัวสายพันธุ์ใหม่ของโลกที่พิพิธภัณฑ์บัว มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ธัญบุรี ได้ตั้งชื่อว่า "ธัญกาฬ" และ "รินลอุบล"
คุณค่าทางโภชนาการ: รากบัวมีแคลเซียม วิตามินซี และอื่นๆ เกสรตัวผู้มีกลิ่นหอม เมล็ดบัวมีแคลเซียมสูง มีธาตุเหล็ก โปรตีน แป้ง วิตามินซี และสารอื่นๆ ดีบัวมีอัลคาลอยด์หลายชนิด
สรรพคุณและการใช้ประโยชน์
ยอดอ่อน ไหลบัว ต้มกะทิ เป็นผักจิ้มน้ำพริก ผัด หรือแกงส้ม
ใช้เป็นยา: เกสรปรุงเป็นยาหอม ทำให้ชื่นใจ และเป็นยาชูกำลัง รากมีรสหวาน และมีกลิ่นหอม ให้เด็กกินระงับอาการท้องร่วงหรือธาตุไม่ปกติ และเป็นอาหารได้ เหง้าและเมล็ดมีรสหวานมันเล็กน้อย เป็นยาบำรุงกำลัง แก้อาการร้อนใน แก้กระหายน้ำ รักษาดี ขับเสมหะ อาการพุพอง เมล็ดจะมี embryo มีสีเขียว เรียกว่าดีบัว ซึ่งมีรสขมจัด มีสารอัลคาลอยด์หลายชนิด มีฤทธิ์ในการขยายหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อของหัวใจ
น้ำรากบัว
ส่วนผสม:
รากบัว  2  ถ้วย
น้ำสะอาด  3  ถ้วย
น้ำตาลทราย  1/3  ถ้วย
วิธีทำ:
นำรากบัวที่ล้างสะอาด ฝานเป็นชิ้นบางๆ นำไปต้มกับน้ำ แล้วคั่วจนกระทั่งได้น้ำเป็นสีชมพู กรองเอากากออก เติมน้ำตาลทราย ตั้งไฟให้เดือด ชิมรส ใส่ขวดนึ่ง 20 - 30 นาที พอเย็นเก็บใส่ตู้เย็น จะได้น้ำรากบัวสีชมพู รสหวานเย็น ดื่มแก้กระหายน้ำ

ข้อมูลอ้างอิง: หนังสือเคล็ดวิธี...กินอย่างไร? ไร้โรคภัย

Jun 23, 2011

Indian Gooseberry

มะขามป้อม (Indian Gooseberry) เป็นต้นไม้ยืนต้นชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์ Euphorbiaceae เป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง และมีคุณค่าทางสมุนไพรด้วย มะขามป้อมเป็นต้นไม้ประจำจังหวัดสระแก้ว มีชื่อพื้นเมืองอื่นอีกคือ กันโตด (เขมร - กาญจนบุรี) กำทวด (ราชบุรี) มะขามป้อม (ทั่วไป) มั่งลู่, สันยาส่า (กะเหรี่ยง - แม่ฮ่องสอน)
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์: เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก-กลาง สูง 8-12 เมตร ลำต้นมักคดงอ เปลือกนอกสีน้ำตาลอมเทา ผิวเรียบหรือค่อนข้างเรียบ เปลือกในสีชมพูสด ใบเดี่ยว มีลักษณะคล้ายใบประกอบ มีใบย่อยออกเรียงกันเป็น 2 แถว คล้ายใบมะขาม ปลายใบแหลมยาวรี รูปขอบขนานติดเรียงสลับ กว้าง 0.25-0.5 ซม.ยาว 0.8-12 ซม. มีสีเขียวอ่อนเรียงชิดกัน ใบสั้นมาก เส้นแขนงใบไม่ชัดเจน
ดอกขนาดเล็กแยกเพศ แต่อยู่บนกิ่งหรือต้นเดียวกัน ออกดอกเป็นช่อตามง่ามใบ 3-5 ดอก หรือตามปลายกิ่ง ดอกหนึ่งมีกลีบดอก 5-6 กลีบ ดอกมีสีขาวหรือขาวนวล ก้านดอกสั้น ผลมีรูปร่างกลม เกลี้ยง มีเนื้อหนา 1.2-2 ซม. ผลอ่อนมีสีเขียวอ่อน ผลแก่มีสีเขียวอ่อนค่อนข้างใส มีเส้นริ้วๆ ตามยาว สังเกตได้ 6 เส้น เนื้อในผลมีสีเหลืองออกน้ำตาลเมื่อแก่ เนื้อผลรับประทานได้ มีรสฝาด เปรี้ยว ขม และอมหวาน เปลือกหุ้มเมล็ดแข็งมี 6 เส้น เมล็ดมี 6 เมล็ด
คุณค่าทางโภชนาการ: ผลมะขามป้อมมีวิตามินซีสูงมาก และมีวิตามินเอ แคลเซียม ฟอสฟอรัส กรดอินทรีย์ มีสารฝาดสมาน
สรรพคุณและการใช้ประโยชน์
ผลแก่จัด รับประทานเป็นผลไม้ ทำเป็นผลไม้กวน แช่อิ่ม และทำน้ำผลไม้
ใช้เป็นยา: เปลือกลำต้น ใช้เปลือกที่แห้ง แล้วบดให้เป็นผงละเอียด โรยแก้บาดแผลเลือดออก และแผลฟกช้ำ ใบ ใช้ใบสดมาต้มกินแก้บวมน้ำ นำมาตำพอกหรือทาบริเวณแผลผื่นคันมีน้ำหนอง น้ำเหลือง และผิวหนังอักเสบ ผล ใช้ผลสดเป็นยาบำรุง ทำให้สดชื่น แก้กระหายน้ำ แก้ไอ แก้หวัด ช่วยระบาย ขับปัสสาวะ แก้เลือดออกตามไรฟัน และคอแห้ง ผลแห้ง บดให้เป็นผงชงกินแก้โรคหนองใน แก้ตกเลือด ท้องเสีย โรคบิด แก้โรคดีซ่าน และโรคโลหิตจาง ราก ต้มกินแก้ร้อนใน แก้โรคเรื้อน แก้ความดันโลหิตสูง และแก้ท้องเสีย
น้ำมะขามป้อม
ส่วนผสม:
มะขามป้อมแก่จัด  1  ถ้วย
น้ำสะอาด  2  ถ้วย
น้ำเชื่อม  1/3  ถ้วย
เกลือป่น  1  ช้อนชา
น้ำแข็ง
วิธีทำ:
นำมะขามป้อมแก่จัดล้างน้ำให้สะอาด แกะเมล็ดออก ใส่เครื่องปั่น เติมน้ำ เติมน้ำเชื่อม เกลือป่น ปั่นให้ละเอียด ชิมรสตามใจชอบ จะได้น้ำผลไม้สีนวลๆ ขุ่น รสหวาน เปรี้ยว เค็ม และฝาดเล็กน้อย เวลาดื่มเติมน้ำแข็งบดละเอียด ดื่มแล้วชุ่มคอ ชื่นใจ

ข้อมูลอ้างอิง: หนังสือเคล็ดวิธี...กินอย่างไร? ไร้โรคภัย